
(คลิ้กที่นี่ เพื่อดูรูปนี้ในขนาดจริง)
ย้อนชีวิต อ.กวี สัตโกวิทกวีเอกแห่งเพลงไทยร่วมสมัย
เมื่อเอ่ยถึงครูเพลงรุ่นกลางที่มีผลงานอมตะอันไพเราะอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชื่อของ อ.กวี สัตโกวิท ย่อมถูกนึกถึงอยู่เสมอ จากผลงานการประพันธ์คำร้องบทเพลงไทยสากลร่วมสมัยไม่ว่าจะเป็น รักข้ามขอบฟ้า, ชั่วฟ้าดินสลาย, ใจเอ๋ย, โลกกับความรัก, สวรรค์อำพราง, คนเลวของเธอ ฯลฯ ซึ่งนับเป็นข่าวดีของแฟนเพลงที่เพลงเหล่านั้น และเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นใหม่รวมกว่า 30 บทเพลงร่วมกับ เรืออากาศตรี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ กำลังจะถูกนำมาถ่ายทอดด้วยทำนองแจ๊สที่งดงามในคอนเสิร์ตการกุศล ''สีสันวันแจ๊ส'' คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่มาจากแนวคิดของ อ.กวี และ ดร.แมนรัตน์ สองปรมาจารย์เพลงระดับประเทศที่ต้องการให้บทเพลงอันทรงคุณค่ายังอยู่คู่วง การเพลงไทยตลอดไป
และเพื่อเป็นการตอบรับคอนเสิร์ต ''สีสันวันแจ๊ส'' ที่กำลังจะมาถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ สยามดาราจึงขอเริ่มต้นสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับเหล่าบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมใน คอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยขอประเดิมด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของ อ.กวี สัตโกวิท ผู้เป็นกวีเอกในการแต่งเติมเรื่องราวอันงดงามภายใต้ท่วงทำนองดนตรีที่ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ รังสรรค์ขึ้นมา
อ.กวี สัตโกวิท มีชื่อจริงว่า กวีวรรษ สัตโกวิท เป็นคนตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2483 เป็นบุตรของ นายนุ้ย และนางแดง สัตโกวิท ส่วนนามปากกาที่ชื่อว่า อ.กวี สัตโกวิท นั้นก็มีที่มาเช่นกัน กล่าวคือเพราะคุณยายของท่านจำชื่อที่พระตั้งชื่อว่า ''กวีวรรษ'' ไม่ได้ เมื่อนำไปฝากเรียนที่โรงเรียน ยายจึงบอกครูว่าชื่อ ''อุดม'' เพราะเป็นเด็กที่อ้วนสมบูรณ์มาก จึงใช้ชื่ออุดมเรื่อยมา ดังนั้น อ.จึงหมายถึง ''อุดม'' นั่นเอง
จากนั้นเด็กชายอุดมจึงเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดท่านคร ใกล้บ้าน แต่ไปจบชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ (เทศบาล 1) แล้วเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนนครวิทยา ต่อมาเมื่อพี่สาวย้ายไปอยู่ที่ชุมพร จึงเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อที่โรงเรียนชุมพรศึกษา แล้วย้ายกลับมาเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา เมื่อปี พ.ศ. 2500 เข้ามาเรียนหนังสือชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่โรงเรียนวัดราชาธิวาสและเริ่มลอง แต่งเพลงบ้างแล้ว ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในวัยอุดมศึกษาเป็นช่วงที่ อ.กวี สัตโกวิท เริ่มต้นการเขียนเพลงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต
โดยครู อ.กวี เล่าย้อนให้ฟังว่า ''ตอนเรียนหนังสือผมเป็นคนชอบเขียนกลอนเขียนอะไรประเภทนี้มาก่อน เพราะตอนนั้นเรียนมาทางอักษรศาสตร์ ขณะที่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่มักจะเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ผมชอบภาษาไทยผมว่าเขาเป็นภาษาที่ดิ้นได้เยอะมากนะ มีคำไพเราะที่เราสามารถนำมาร้อยเรียงกันได้เยอะมาก และสิ่งที่ท้าทายคือความสัมผัสของภาษากวีคำบางคำที่เราหาที่ลงไม่ได้ แต่พอเขาหาได้เขาก็กลายเป็นคำที่แปลกใหม่ บางครั้งความหมายดีกว่าที่เราคาดคิดไว้ซะอีก สิ่งเหล่านี้เขาท้าทายให้เราคิดและต้องคิดให้ได้ ซึ่งก็เหมือนการแต่งเพลง การแต่งเพลงนั้นก็มาจากกลอนเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะแต่งเพลงประเภทไหนเราก็แต่งในแนวของกลอนทั้งนั้น แต่เขาไม่เหมือนกับกลอนตรงที่เขามีเมโลดี้มีโน้ตกำกับที่เราจะต้องเขียนไป ตามนั้น กลอนนั้นเราเขียนยังไงก็ได้ แต่เพลงไม่เหมือนกันเขามีโน้ตมาบังคับให้เราต้องเขียนเสียงสูงต่ำเขาเป็น ความยากและท้าทายมากกว่า
แต่ด้านดนตรีผมเคยเรียนครับ แต่ว่าไม่เก่ง (ยิ้ม) เพราะเรามาเรียนตอนโตแล้ว คือถ้าใครจะเรียนดนตรีแนะนำให้เรียนตอนเด็กๆ นะครับมือไม้เขาจะไปมากกว่าคนเป็นผู้ใหญ่ที่มือไม้แข็งไปหมดแล้วเรียนยังไง ก็ไม่เก่ง ตัวผมเองก็พอรู้แต่ว่าอยู่ในระดับธรรมดาจะถนัดด้านการแต่งเนื้อร้องเป็นส่วน ใหญ่''
ทว่าชีวิตการเป็นนักแต่งเพลงไม่อาจเป็นงานหลักที่หาเลี้ยงปากท้องได้ โดยในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ทำงานหารายได้พิเศษไปด้วย โดยเข้าทำงานประจำที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล และจัดเพลงที่สถานีวิทยุ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และ สถานีวิทยุ ท.ท.ท. สี่แยกคอกวัว ซึ่งตอนนั้นเองเป็นช่วงที่ อ.กวี ต้องเลือกระหว่างงานหาเลี้ยงชีพกับงานที่ตัวเองรัก
''เพลงแรกที่แต่งคือเพลงฟ้ารำลึกให้คุณสุเทพขับร้องตอนปี พ.ศ.2504 เส้นทางแต่งเพลงในยุคนั้นที่จริงก็ไม่ค่อยดีหรอกครับ รายได้ที่รับมาก็ไม่พอใช้จ่าย เขาไม่สามารถทำเป็นอาชีพได้ แต่ว่าเราทำด้วยใจรักมากกว่า ตอนนั้นผมก็อยู่ไม่ได้ด้วยอาชีพนักแต่งเพลง ตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยและก็ทำงานไปด้วยอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล แต่ว่าทำอยู่ไม่นานเพราะความชอบทางเพลงของเรา และอีกอย่างคือพอเรามีชื่อเสียงขึ้นมาจากหลายๆ เพลงที่เราแต่ง ก็มีเจ้าของหนังมาจ้างเราให้เขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ พองานเขาเยอะขึ้นมาก็ทำให้เราขาดราชการบ่อยจึงทำให้เราตัดสินใจลาออก จากราชการ''
ครูเพลงรุ่นใหญ่เล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบจนเรานึกว่าชีวิตช่วง นั้นของเขาจะเป็นช่วงที่ลำบากในชีวิตศิลปิน แต่ตรงกันข้าม เพราะจากการที่ อ.กวี คลุกคลีอยู่กับนายทุนสร้างหนังมาตลอด จึงทำให้เขามีโอกาสในการผันตัวเองมาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ควบคู่กับ การเป็นนักแต่งเพลงอย่างที่ตัวเองต้องการ โดยมีหนังเรื่องแรกคือ ''ปีศาจเสน่หา'' ในปี พ.ศ.2510 ได้มิตร-เพชรา มาเป็นคู่พระ-นาง จากนั้นก็มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อยมา
''ถ้าถามว่าการสร้างหนังประสบความสำเร็จมั้ย ผมมองว่าการสร้างหนังก็เป็นงานอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ภาวะการเงินของเราหมุน คล่องขึ้น จากเดิมที่เราเขียนเพลงได้ไม่กี่ร้อยบาท แต่พอเรามาทำงานด้านหนังก็ทำให้เราได้จับเงินเป็นหมื่นเป็นแสนจนถึงเป็นล้าน คือการหมุนเวียนเขาดีขึ้นกว่าเก่า คือทุกอย่างเขาทำให้เราถีบตัวขึ้นมา''
อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ในที่สุด อ.กวี สัตโกวิท ก็วางมือจากงานภาพยนตร์และกลับมาอยู่ในสิ่งที่รักมากที่สุดนั่นคือการแต่ง เพลง
''คือตอนนั้นอายุเรามากขึ้น และการทำภาพยนตร์เราก็ต้องอยู่กับคนมากมาย มีทีมงานในการถ่ายทำ ดารา ต้องควบคุมคนเยอะๆ ความรับผิดชอบเยอะ เขาเหนื่อย แต่การทำเพลงเราทำกันอยู่ไม่กี่คน ทำในกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ทำให้คนกลุ่มใหญ่ฟังได้เหมือนกัน ทำแล้วเขาสบายใจกว่า เขาเหนื่อยน้อยกว่า ก็เลยเลิกงานสร้างภาพยนตร์มาอยู่กับเพลงจนถึงวันนี้ งานที่เรารักมากที่สุดก็คือเพลง เราเคยห่างจากงานเพลงไปทำภาพยนตร์อยู่ 6-7 ปี เราก็ต้องกลับมาอยู่กับงานเพลงอีก ก็กลับมาจัดคอนเสิร์ต แต่งเพลงใหม่ๆ ขึ้นมา''
เมื่อถามถึงการกลับมาสร้างสรรค์ผลงานเพลงใหม่อีก 11 บทเพลง ร่วมกับ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ซึ่งเตรียมถูกถ่ายทอดในคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ ''สีสันวันแจ๊ส'' ครูเพลง อ.กวี สัตโกวิท กล่าวว่า ''คือบทเพลงไทยนั้นเราต้องหาทางให้เขามีการสืบทอด จะเห็นว่าเพลงไทยเก่าๆ ที่ไม่ตายคือเพลงที่ได้มาตรฐานมีหลายเพลงที่ทุกวันนี้ยังมีคนนำกลับมาร้อง อยู่ แต่เราจะเอาไว้ให้เขามีแค่นั้นหรือ ดังนั้นเราจึงคิดแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าบทเพลงที่ ดีๆ ไม่ได้มีแค่นั้น เขาต้องมีเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ได้อยู่กับที่ แต่เขาต้องมีการสืบทอดเพื่อจะให้เพลงไม่อยู่กับที่และเด็กจะได้รู้จักเพลง ใหม่ๆ มากขึ้นครับ''
ทุกวันนี้ อ.กวี สัตโกวิท ยังคงทำงานเกี่ยวกับเสียงเพลงร่วมสมัย โดยผลิตรายการอยู่ที่ช่องเฉลิมกรุงทีวี ขณะที่งานด้านภาพยนตร์ก็ใช่ว่าจะหายไปจากครอบครัวสัตโกวิทซะทีเดียว เมื่อเขามีทายาทที่ชื่อ ''บอม'' อัศจรรย์ สัตโกวิท เป็นผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นใหม่ของวงการหนังไทย
สำหรับคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์เพื่อการกุศล ''สีสันวันแจ๊ส'' จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 19 พ.ย. 54 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป เปิดจำหน่ายบัตรวันที่ 20 ต.ค. ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา บัตรราคา 500/800/1,000/1,500/2,000/2,500 บาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายบัตรมอบให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนา
ที่มา สยามดารา