15.10.54

5 อันดับลูกสาวดารา สวยน่ารักโดนใจ



5 อันดับลูกสาวดารา สวยน่ารักโดนใจ!!!

เมื่อ คราวที่แล้ว "5 อันดับลูกชายดารา หล่อน่ารักโดนใจที่สุด" ได้รับเสียงตอบรับดีมาก หลายคนถามว่าแล้วลูกสาวดาราหายไปไหน ทีมข่าวบันเทิง S! News ไม่ได้ลืมค่ะ อย่าได้กังวลไป วันนี้เราได้รวบรวม 5 อันดับลูกสาวดาราที่น่ารักน่าหยิก และเป็นขวัญใจพ่อยกแม่ยกที่สุด มาให้ดูกันอย่างจุใจ ใครเป็นใครไปดูกันได้เลย!!!

ป.ล.การจัดอันดับ นี้ไม่มีสำนักโพลล์ที่ไหนรับรองอย่างเป็นทางการ ลูกสาวดาราคนไหนไม่ติดอันดับ ไม่ได้แปลว่าไม่สวยน่ารักหรือไม่ดังนะจ๊ะ



น้องลียา ลลียา เองตระกูล

ถือ เป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่ตัวจริงเสียงจริง เพราะจนถึงทุกวันนี้พ่อเป๊ก สัณชัย เองตระกูล กับแม่ธัญญ่า ธัญญาเรศ ก็ยังไม่หย่าขาดกันซักที พวกเราก็คงได้แต่หวังว่าความน่ารักของน้องลียาจะทำให้พ่อและแม่กับมาคืนดี กันได้เหมือนเดิม

น้องณดา ปุณณดา ปุณณกันต์

เพราะมีคุณแม่ เป็นซุปตาร์ดาวค้างฟ้า อย่าง กบ สุวนันท์ ปุณณกันต์ ส่วนคุณพ่อก็เป็นอดีตพระเอกดังและนักการเมืองสุดหล่ออย่างบรู๊ค ดนุพร ผลผลิตที่ได้คือลูกสาวน่ารักๆ อย่างน้องณดา ที่คุณย่าดาริกาทั้งรักทั้งหลง แต่หลายคนแอบแซวว่าแม่กบหาบิ๊กอายมาให้น้องณดาใส่ เพราะน้องณดาตาโตมาก!!!

น้องไลลา เจน บัทเทอรี่

ถ้า ขาดน้องไลลา ลูกสาวของพอลล่า เทเลอร์ กับเอ็ดเวิร์ด คงแย่แน่ๆ เพราะขนาดคุณแม่ยังไม่พาออกงานอย่างเป็นทางการ น้องไลลายังฮอตฮิตขนาดนี้ อนาคตฟันธงว่าเป็นน้องไลลาจะเป็นเจ้าแม่อีเว้นท์และพรีเซนเตอร์เหมือนคุณแม่ พอลล่าแน่นอน ฟันธง!!!

น้องยี่หวา ลูก โจ๊ก โซคูล

ด้วยบร๊ะลา นุภาพ ของบร๊ะเจ้าโจ๊ก จึงทำให้บร๊ะธิดาอย่างน้องยี่หวา ติดอันดับมากับเค้าด้วย เพราะลูกสาวโจ๊ก โซคูล หรือ กรภพ จันทร์เจริญ และ คุณแม่ฝน กัญญ์พชิรา นั้นแสนจะน่ารักน่าหยิกจนขโมยซีนพ่อไปเต็มๆ บร๊ะเจ้า ชาบู ชาบู

น้องพราว ลูกลิฟท์ สุพจน์

นี่ก็สำเนาถูกต้องอีกคน เพราะน้องพราว ลูกสาวลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เจริญ กับ หญิง นราวัลย์ เป๊ะมากหน้าตาเหมือนทั้งคุณพ่อคุณแม่ ไม่รู้ว่าโตมาจะใส่เสื้อลายทางสีแซ่บเอวลอย ร้องว่า"ดูมั้ยดู ดูมั้ยดู ดูไม่เสียตังค์.." เหมือนพ่อมั้ยเอ่ย

ที่มา สนุกดอทคอม

กฤษณ์ ฟ้องแน่ กุ อั้ม ให้ยืม10ล้าน



''กฤษณ์''ฟ้องแน่! กุ''อั้ม''ให้ยืม10ล.

    ''กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์'' สุดทน! เดินหน้าฟ้องคนกุข่าวยืมเงินนางเอก ''อั้ม-พัชราภา'' 10 ล้าน หลังมีผลกระทบต่อตัวเองและธุรกิจมากมาย เผยรู้ตัวคนพูดแล้ว รอรวบรวมข้อมูลและหลักฐานจะแถลงข่าวให้ทราบอีกที บอกงานนี้ไม่มีการเคลียร์ หรือยอมความ เผยไม่เกี่ยวกับโดนใส่ร้ายเล่นคุณไสย บอกไม่คิดลบภาพนี้ เพราะตัวเองทำรายการผี คนจะมองแบบนั้นก็ไม่ว่า

    ออกอาการเดือดจนทนไม่ไหวสำหรับดีเจหน้าตี๋  กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์ เมื่อถูกคนไม่หวังดีใส่ร้ายว่าไปขอยืมเงินนางเอกวิก 7 สี ''อั้ม'' พัชราภา ไชยเชื้อ ถึง 10 ล้านบาท  ซึ่งทางสาวอั้มได้ออกมาโต้ข่าวแทนไปแล้ว 1 รอบ แต่ทั้งนี้ข่าวดังกล่าวมีผลกระทบต่อตัวหนุ่มกฤษณ์ และธุรกิจส่วนตัวของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า  กฤษณ์ จะฟ้องคนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา
     
    เมื่อผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้เจอ ''ดีเจกฤษณ์'' ที่มาร่วมงานครบรอบ 7 ปี สายการบินนกแอร์ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน วันก่อน  จึงได้สอบถามถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งหนุ่มกฤษณ์ยืนยันว่าจะฟ้องร้องจริงๆ ตอนนี้ได้ปรึกษาทนายไว้แล้ว  อีกทั้งตนยังรู้ตัวคนปล่อยข่าว และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมข้อมูลหลักฐานเอาผิด
     
    ''เรื่องฟ้องก็จริงๆ ได้คุยกับทางทนายไว้แล้ว จริงๆ ผมเข้าใจนะครับเรื่องคนสาธารณะ ว่าการเป็นข่าวเขาห้ามไม่ได้ บางเรื่องที่เขาไม่จริงผมก็ไม่ได้ออกมาพูดนะ  บางข่าวก็ปล่อยไป ไม่ได้ติดใจอะไร แต่บางเรื่องกระทบต่อตัวผม สิ่งที่ผมทำ ธุรกิจที่ผมกำลังทำอยู่ เขาไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว เขาเป็นบริษัทผม พาร์ตเนอร์ผม ลูกน้องผม 40-50 ชีวิต ผมก็คงต้องดำเนินคดีครับ ตอนนี้ก็รู้ตัวคนปล่อยข่าวแล้ว รอเวลาอยู่ครับ ใกล้แล้ว ถ้าได้ข้อมูลครบและพร้อมเมื่อไหร่คงจะแถลงข่าวให้ทราบอีกที  แต่อันนี้ไม่ได้หมายถึงฟ้องสื่อมวลชนโดยรวมครับ เป็นแค่กลุ่มคน และบุคคลบางบุคคล  ผมไม่เจาะจงล่ะกัน เดี๋ยวไปว่ากันในศาลล่ะกันครับ ถ้าเป็นเรื่องจริงผมจะไม่ว่าเลย แต่เขาไม่จริงเลย ผมก็ต้องออกมาปกป้องสิ่งที่ผมควรจะปกป้องเท่านั้นเอง จากข่าวที่เกิดขึ้นเขาส่งผลกระทบมากครับ ก็มีลูกค้ามาถาม คนโดยรอบทุกวันนี้ก็ไม่ได้มองผมดีแล้วครับ ประชาชนที่เค้าไม่เข้าใจ เสพสื่อ เขาก็มีผลกระทบหมดครับ''
     
    ต่อข้อถามว่าหลังจากมีข่าวได้คุยกับคู่กรณีที่รู้ตัวแล้วว่าเป็นใครบ้างไหม เรื่องนี้ดีเจหนุ่มบอกว่า ไม่เตือน ไม่คุยและไม่เคลียร์อะไรทั้งสิ้น
     
    ''ไม่เตือนครับ เดี๋ยวเค้ารู้ตัวครับ เรื่องนี้ผมพูดชัดเจนแล้วครับว่าไม่เคลียร์ใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล ถ้าคุณมั่นใจว่าถูก  คุณก็ฟ้องกลับผมได้ไม่เป็นไร เชิญครับ''
     
    เมื่อถามว่าสาเหตุที่ฟ้องนั้นมาจากเรื่องข่าวยืมเงิน ''อั้ม-พัชราภา'' อย่างเดียวเลยหรือเปล่า เรื่องนี้กฤษณ์บอกว่า ทุกเรื่องที่ทำให้ตนเสียหาย
     
    ''ก็ทุกเรื่อง ข่าวที่เขาทำให้ผมเสียหายและเป็นข่าวที่ไม่จริง  เขาไม่ใช่ครั้งแรกครับที่เขาพูด หลายครั้งแล้ว แต่ก็ดี พูดต่อไปครับ ก็ใกล้แล้วครับ''
     
    ส่วนจะฟ้องเรื่องโดนว่าเล่นไสยศาสตร์ด้วยหรือเปล่านั้น ดีเจชื่อดังบอกว่า
     
    ''ไม่ครับ ใครจะว่ายังไงก็ว่าไป ไม่สนใจครับ เข้าใจครับ ก็ดีครับ รายการที่ผมทำจะได้ดังดี แต่ถ้าอะไรที่เขาเกี่ยวกับธุรกิจ ผมก็ต้องขออนุญาตปกป้องสิทธิส่วนตัวผมนิดนึงครับ  กับภาพที่คนมองว่าเล่นคุณไสยเนี่ย ผมเองก็ไม่ได้อยากลบนะ ผมเข้าใจนะภาพลักษณ์ผมเป็นแบบนี้ เพราะผมทำรายการผีด้วย เข้าใจ คนจะมองเป็นลักษณะนั้นก็โอเคครับ ก็มีคนมาถามผมว่าไปลงของวัดไหน เข้าใจหมดครับ วัดที่ผมไปบวชก็มีคนโทร.ไปนะครับ ว่าวัดนี้ผมไปลงอะไร  สงสารหลวงพ่อมากเลย''
     
    ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าตั้งแต่มีข่าวได้คุยหรือปรึกษาอั้มบ้างหรือเปล่า เรื่องนี้กฤษณ์บอกว่า
     
    ''ไม่ได้คุยครับ คนละส่วนกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอั้มครับ เค้าก็ตอบในส่วนที่เค้าต้องตอบไปแล้วว่าเค้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ผมกับคุณอั้มเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไร เวลาไปไหนด้วยกันก็เปิดเผย คุยกันก็ไม่ได้ปิดบังอะไร''
     
    ''ส่วนตัวผมก็มีคนคุยๆ อยู่ครับ แต่ว่าก็ยังเป็นเพื่อนกันหมด ยังไม่ได้ตกลงปลงใจอะไร''
     
    จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ให้หนุ่มกฤษณ์ฝากบอกถึงคนที่เข้าใจผิดว่าจะฝากอะไรบ้าง เรื่องนี้ดีเจหนุ่มบอกว่า
     
    ''ผมเข้าใจว่าหลังจากที่ผมมีข่าวกับคุณช่า (มาช่า วัฒนพานิช) เขาก็มีข่าวลักษณะแนวนี้ออกมา ผมก็อธิบายเกี่ยวกับคุณช่าชัดเจนไปแล้วว่าเรื่องราวคืออะไร ผมไม่อยากจะมาแตกดีเทลว่าเขาเป็นยังไง ต้นตอเขามายังไง ทำไมเขาจบแบบนี้ เรารู้สึกว่าเขาเป็นเรื่องส่วนตัว และผมเป็นผู้ชายก็ไม่อยากพูดอะไรให้เขายืดเยื้อ อันไหนที่เขากระทบตัวผม เล่นของ เสกผี อะไรก็แล้วแต่ผมโอเค เข้าใจครับ เขียนได้เต็มที่เลย อันไหนที่รุนแรงเกินไป เช่น ผมไปเกาะใครอย่างนั้นอย่างนี้ ผมพูดชัดเลยครับว่าเงินสิบล้านผมมีปัญญาหาครับ ถ้าร้อยล้านพันล้านก็ว่าไปอย่าง ทำงานมาตั้งนานสิบล้านไม่ใช่ว่าไม่มี งานที่ผมทำ สิ่งที่ผมเป็นอยู่ ถ้าคนที่รู้จักผม คนที่เห็นสิ่งที่ผมทำสิบล้านเขาธรรมดา''
     
    อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า คนมองว่าทำรายการแฉแต่เช้า แฉคนอื่นแต่พอตัวเองโดนแฉไม่ยอม รู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ดีเจหนุ่มเผยว่า
     
    ''ถ้าผมโดนแฉเองถ้าสิ่งนั้นเขาเป็นเรื่องที่ไม่จริง แล้วไม่กระทบต่อตัวผมก็ไม่ยุ่งครับ แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริงแล้วกระทบต่อตัวผมมากเกินไป ผมก็ต้องออกมาปกป้องก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณจะแฉอะไรผม ว่าผมก็โอเค เข้าใจ แต่ถ้าบางเรื่องไม่จริง แล้วเยอะเกินไป ว่าผมไปเกาะคนนั้นคนนี้ อยากจะพูดเลยว่า ตัวคุณอั้มก็ไม่ได้โง่นะครับ เค้าโตแล้ว ผมพูดชัดเจนเลยว่าเค้ามีสมองพิจารณาให้ดี ใครดี ใครไม่ดี ใครเป็นยังไง ส่วนตัวผมเองอยู่วงการนี้มานาน ทำธุรกิจ หรือทำงานในเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังเองก็หลายงาน เพราะฉะนั้นผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก''  ดีเจหนุ่มกล่าว

ที่มา สยามดารา

แอ๊ด คาราบาว ส่งพลังใจผ่านบทเพลง น้ำใจไทย



''แอ๊ด คาราบาว''ส่งพลังใจผ่านบทเพลง''น้ำใจไทย''
    ในภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศ ส่งผลให้เหล่าประชาชนคนไทย ต่างกำลังประสบปัญหาเดือดร้อน ทั้งไร้ที่อยู่อาศัย ขาดเครื่องอุปโภค-บริโภคที่สะอาด รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บ จากปัญหาน้ำเน่าเสีย ปัญหายุงลาย ปัญหาความปลอดภัยในด้านต่างๆ อยู่ในขณะนี้


    ล่าสุด นักร้อง-นักแต่งเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ''แอ๊ด'' ยืนยง โอภากุล หรือ ''แอ๊ด คาราบาว'' จากค่าย วอร์นเนอร์ มิวสิค ได้ส่งพลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัย ในภาคต่างๆ ด้วยการแต่งบทเพลงจากความรู้สึก เพื่อเป็นแรงพลังในการต่อสู้ ผลักดันปัญหา และผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ที่เผชิญอยู่ให้ผ่านพ้นไปโดยเร็วพลัน

   
    โดยเพลง น้ำใจไทย มีเนื้อร้อง ดังต่อไปนี้

    น้ำท่วมยิ่งมากเท่าไร               น้ำใจไทยยิ่งมากกว่านั้น
    เราคนไทยไม่เคยทิ้งกัน          เราคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน
    จะฝ่าวิกฤตน้ำไปด้วยกัน          จะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
    น้ำใจท้นท่วม                             ร่วมแก้ปัญหา
    น้ำเหนือไหลบ่า                         นาไร่ล่มจม
    ดินโคลมถล่ม                            ทลายลุ่มเจ้าพระยา
    ท่าจีน ปิง วัง                              ยม น่าน ยัน โขง ชี มูล

    ร้อยวันพันปี                               ก็มีเพียงครั้งนี้
    ที่น้ำฝนไหลรี่                             น้ำผีไหลบ่า
    หลั่งเลือดน้ำตา                          สู้แรงวารี
    มีแต่เพียงศรัทธา                       แห่งความรักและผูกพัน

    เขื่อนคาว่าสูง                             ตลิ่งใจสูงกว่า
    คนไทยทั่วหล้า                          ส่งกำลังใจถึงกัน
    ซื้อข้าวซื้อของ                          ใส่กระสอบฝัน
    ต้องมีสักวัน                                จะผ่านพ้นเขาได้เอง
    มีสักวัน                                        จะผ่านพ้นไปได้เอง

    จะฝ่าวิกฤตน้ำไปด้วยกัน            จะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

ที่มา สยามดารา

น้องเบสท์ มีตาเขียว พีช ควง ฉัตร สวีต

(คลิ้กที่นี่ เพื่อดูรูปนี้ในขนาดจริง)


''น้องเบสท์''มีตาเขียว! ''พีช''ควง''ฉัตร''สวีต

    พระเอกขวัญใจวัยรุ่น ''พีช'' พชร จิราธิวัฒน์ ที่กำลังมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง ''วัยรุ่นพันล้าน'' ขอซ้อมควงแขนนางเอกสาวดาวรุ่ง 7 สี ''ฉัตร'' ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร พรีเซนเตอร์ซิตร้า โชว์ไฮไลต์ชอตสุดโรแมนติกกลางห้าง ที่หนุ่มพีชเตรียมไว้เพื่อถ่ายเอ็มวีเพลงฮิตร่วมกับ 22 สาววินเทอร์ของซิตร้า-นางเอกมิวสิกวิดีโออวดผิวเนียนนุ่มกระจ่างใสกลาง อุณหภูมิติดลบที่ประเทศเกาหลี พร้อมร่วมตะลุยหนาวสุดขั้วทัวร์จุใจ 5 วัน 3 คืนฟรีร่วมกันกับพีช ในแคมเปญ ''ซิตร้า ท้าหนาวสุดขั้ว ตะลุยทัวร์เกาหลี ปี 3''

    หนุ่มพีชเปิดใจว่า ''ทริปนี้จะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่จะได้ไปเที่ยวเกาหลี และยังสุดพิเศษสุดๆ เพราะผมจะได้ควงแขนไปกับสาวผิวใส ซึ่งไม่ได้มีแค่ 1 คนแต่ผมจะควงแขน 22 สาวกันเลยทีเดียว ก็ตื่นเต้นดีครับ  รับรองว่านอกจากจะได้ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอสุดโรแมนติกมาอวดเพื่อนๆ ทางยูทูบและเฟซบุ๊กแล้ว ยังได้เที่ยว-กิน-นอนแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ประเทศเกาหลีตั้ง 5 วัน 3 คืนทั้งตามรอยซีรีส์ชื่อดังที่ อิงลิช วิลเลจ  หนึ่งในฉากดังของ เอฟโฟร์  หรือแนวเขาๆ ปนโรแมนติกอย่างการปั่นจักรยานที่เกาะนามิ หรือไปสนุกแบบเอ็กซ์ตรีมที่สวนสนุกเอเวอร์แลนด์และสกีรีสอร์ต ฯลฯ''
     
    ''ดีใจที่ทางซิตร้าเลือกให้มาเป็นตัวแทนในครั้งนี้ ซึ่งทางทีมงานบอกว่าเลือกจากผลโหวตจากประชาชนว่าเป็นหนุ่มฮอต ก็ปลื้มครับ แต่ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองฮอตอะไร ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน และก็ยังเป็นตัวของเราเองครับ''
     
    ถามถึงสเปกสาวๆ หนุ่มพีช ก็บอกว่า ''จริงๆ ผมชอบผู้หญิงที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ เข้ากับเราได้ เข้าใจว่าเราทำงานแบบนี้ ในวงการเวลาเขาไม่แน่นอน แล้วก็ผิวสวยนุ่มกระจ่างใส สม่ำเสมอกัน''
     
    เมื่อถามว่า แล้ว ''เบสท์ วงโอลีฟส์'' ที่มีข่าวสนิทสนมกันนี่ ตรงสเปกหรือเปล่า หนุ่มพีชถึงกับอมยิ้ม ก่อนจะบอกว่า ตรงบ้างเหมือนกัน ''ก็ตรงบางอย่างนะครับ เขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ดี แต่ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันอย่างที่บอกครับ''
     
    ส่วนสาวคนไหนที่อยากร่วมลุ้นเป็นนางเอกเอ็มวีพร้อมเที่ยวท้าหนาวสุดขั้วที่ เกาหลีกับพีช ก็ติดตามได้ตั้งแต่วันนี้ - 15 พฤศจิกายน 2554 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2867-3522 หรือ www.CitraThailand.com และ www.facebook.com/citrathailand

ที่มา สยามดารา

ย้อนชีวิต อ.กวี สัตโกวิทกวีเอกแห่งเพลงไทยร่วมสมัย

(คลิ้กที่นี่ เพื่อดูรูปนี้ในขนาดจริง)


ย้อนชีวิต อ.กวี สัตโกวิทกวีเอกแห่งเพลงไทยร่วมสมัย

    เมื่อเอ่ยถึงครูเพลงรุ่นกลางที่มีผลงานอมตะอันไพเราะอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชื่อของ อ.กวี สัตโกวิท ย่อมถูกนึกถึงอยู่เสมอ จากผลงานการประพันธ์คำร้องบทเพลงไทยสากลร่วมสมัยไม่ว่าจะเป็น รักข้ามขอบฟ้า, ชั่วฟ้าดินสลาย, ใจเอ๋ย, โลกกับความรัก, สวรรค์อำพราง, คนเลวของเธอ ฯลฯ ซึ่งนับเป็นข่าวดีของแฟนเพลงที่เพลงเหล่านั้น และเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นใหม่รวมกว่า 30 บทเพลงร่วมกับ เรืออากาศตรี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ กำลังจะถูกนำมาถ่ายทอดด้วยทำนองแจ๊สที่งดงามในคอนเสิร์ตการกุศล ''สีสันวันแจ๊ส'' คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่มาจากแนวคิดของ อ.กวี และ ดร.แมนรัตน์ สองปรมาจารย์เพลงระดับประเทศที่ต้องการให้บทเพลงอันทรงคุณค่ายังอยู่คู่วง การเพลงไทยตลอดไป

    และเพื่อเป็นการตอบรับคอนเสิร์ต ''สีสันวันแจ๊ส'' ที่กำลังจะมาถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ สยามดาราจึงขอเริ่มต้นสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับเหล่าบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมใน คอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยขอประเดิมด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของ อ.กวี สัตโกวิท ผู้เป็นกวีเอกในการแต่งเติมเรื่องราวอันงดงามภายใต้ท่วงทำนองดนตรีที่ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ รังสรรค์ขึ้นมา
     
    อ.กวี สัตโกวิท มีชื่อจริงว่า กวีวรรษ สัตโกวิท เป็นคนตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2483 เป็นบุตรของ นายนุ้ย และนางแดง สัตโกวิท ส่วนนามปากกาที่ชื่อว่า อ.กวี สัตโกวิท นั้นก็มีที่มาเช่นกัน กล่าวคือเพราะคุณยายของท่านจำชื่อที่พระตั้งชื่อว่า ''กวีวรรษ'' ไม่ได้ เมื่อนำไปฝากเรียนที่โรงเรียน ยายจึงบอกครูว่าชื่อ ''อุดม'' เพราะเป็นเด็กที่อ้วนสมบูรณ์มาก จึงใช้ชื่ออุดมเรื่อยมา ดังนั้น อ.จึงหมายถึง ''อุดม'' นั่นเอง
     
    จากนั้นเด็กชายอุดมจึงเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดท่านคร ใกล้บ้าน แต่ไปจบชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ (เทศบาล 1) แล้วเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนนครวิทยา ต่อมาเมื่อพี่สาวย้ายไปอยู่ที่ชุมพร จึงเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อที่โรงเรียนชุมพรศึกษา แล้วย้ายกลับมาเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา เมื่อปี พ.ศ. 2500 เข้ามาเรียนหนังสือชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่โรงเรียนวัดราชาธิวาสและเริ่มลอง แต่งเพลงบ้างแล้ว ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในวัยอุดมศึกษาเป็นช่วงที่ อ.กวี สัตโกวิท เริ่มต้นการเขียนเพลงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต
     
    โดยครู อ.กวี เล่าย้อนให้ฟังว่า ''ตอนเรียนหนังสือผมเป็นคนชอบเขียนกลอนเขียนอะไรประเภทนี้มาก่อน เพราะตอนนั้นเรียนมาทางอักษรศาสตร์ ขณะที่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่มักจะเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ผมชอบภาษาไทยผมว่าเขาเป็นภาษาที่ดิ้นได้เยอะมากนะ มีคำไพเราะที่เราสามารถนำมาร้อยเรียงกันได้เยอะมาก และสิ่งที่ท้าทายคือความสัมผัสของภาษากวีคำบางคำที่เราหาที่ลงไม่ได้ แต่พอเขาหาได้เขาก็กลายเป็นคำที่แปลกใหม่ บางครั้งความหมายดีกว่าที่เราคาดคิดไว้ซะอีก สิ่งเหล่านี้เขาท้าทายให้เราคิดและต้องคิดให้ได้ ซึ่งก็เหมือนการแต่งเพลง การแต่งเพลงนั้นก็มาจากกลอนเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะแต่งเพลงประเภทไหนเราก็แต่งในแนวของกลอนทั้งนั้น แต่เขาไม่เหมือนกับกลอนตรงที่เขามีเมโลดี้มีโน้ตกำกับที่เราจะต้องเขียนไป ตามนั้น กลอนนั้นเราเขียนยังไงก็ได้ แต่เพลงไม่เหมือนกันเขามีโน้ตมาบังคับให้เราต้องเขียนเสียงสูงต่ำเขาเป็น ความยากและท้าทายมากกว่า
     
    แต่ด้านดนตรีผมเคยเรียนครับ แต่ว่าไม่เก่ง (ยิ้ม) เพราะเรามาเรียนตอนโตแล้ว คือถ้าใครจะเรียนดนตรีแนะนำให้เรียนตอนเด็กๆ นะครับมือไม้เขาจะไปมากกว่าคนเป็นผู้ใหญ่ที่มือไม้แข็งไปหมดแล้วเรียนยังไง ก็ไม่เก่ง ตัวผมเองก็พอรู้แต่ว่าอยู่ในระดับธรรมดาจะถนัดด้านการแต่งเนื้อร้องเป็นส่วน ใหญ่''
     
    ทว่าชีวิตการเป็นนักแต่งเพลงไม่อาจเป็นงานหลักที่หาเลี้ยงปากท้องได้ โดยในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ทำงานหารายได้พิเศษไปด้วย โดยเข้าทำงานประจำที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล และจัดเพลงที่สถานีวิทยุ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และ สถานีวิทยุ ท.ท.ท. สี่แยกคอกวัว ซึ่งตอนนั้นเองเป็นช่วงที่ อ.กวี ต้องเลือกระหว่างงานหาเลี้ยงชีพกับงานที่ตัวเองรัก
     
    ''เพลงแรกที่แต่งคือเพลงฟ้ารำลึกให้คุณสุเทพขับร้องตอนปี พ.ศ.2504 เส้นทางแต่งเพลงในยุคนั้นที่จริงก็ไม่ค่อยดีหรอกครับ รายได้ที่รับมาก็ไม่พอใช้จ่าย เขาไม่สามารถทำเป็นอาชีพได้ แต่ว่าเราทำด้วยใจรักมากกว่า ตอนนั้นผมก็อยู่ไม่ได้ด้วยอาชีพนักแต่งเพลง ตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยและก็ทำงานไปด้วยอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล แต่ว่าทำอยู่ไม่นานเพราะความชอบทางเพลงของเรา และอีกอย่างคือพอเรามีชื่อเสียงขึ้นมาจากหลายๆ เพลงที่เราแต่ง ก็มีเจ้าของหนังมาจ้างเราให้เขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ พองานเขาเยอะขึ้นมาก็ทำให้เราขาดราชการบ่อยจึงทำให้เราตัดสินใจลาออก จากราชการ''
     
    ครูเพลงรุ่นใหญ่เล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบจนเรานึกว่าชีวิตช่วง นั้นของเขาจะเป็นช่วงที่ลำบากในชีวิตศิลปิน แต่ตรงกันข้าม เพราะจากการที่ อ.กวี คลุกคลีอยู่กับนายทุนสร้างหนังมาตลอด จึงทำให้เขามีโอกาสในการผันตัวเองมาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ควบคู่กับ การเป็นนักแต่งเพลงอย่างที่ตัวเองต้องการ โดยมีหนังเรื่องแรกคือ ''ปีศาจเสน่หา'' ในปี พ.ศ.2510  ได้มิตร-เพชรา มาเป็นคู่พระ-นาง จากนั้นก็มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อยมา
     
    ''ถ้าถามว่าการสร้างหนังประสบความสำเร็จมั้ย ผมมองว่าการสร้างหนังก็เป็นงานอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ภาวะการเงินของเราหมุน คล่องขึ้น จากเดิมที่เราเขียนเพลงได้ไม่กี่ร้อยบาท แต่พอเรามาทำงานด้านหนังก็ทำให้เราได้จับเงินเป็นหมื่นเป็นแสนจนถึงเป็นล้าน คือการหมุนเวียนเขาดีขึ้นกว่าเก่า คือทุกอย่างเขาทำให้เราถีบตัวขึ้นมา''
     
    อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ในที่สุด อ.กวี สัตโกวิท ก็วางมือจากงานภาพยนตร์และกลับมาอยู่ในสิ่งที่รักมากที่สุดนั่นคือการแต่ง เพลง
     
    ''คือตอนนั้นอายุเรามากขึ้น และการทำภาพยนตร์เราก็ต้องอยู่กับคนมากมาย มีทีมงานในการถ่ายทำ ดารา ต้องควบคุมคนเยอะๆ ความรับผิดชอบเยอะ เขาเหนื่อย แต่การทำเพลงเราทำกันอยู่ไม่กี่คน ทำในกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ทำให้คนกลุ่มใหญ่ฟังได้เหมือนกัน ทำแล้วเขาสบายใจกว่า เขาเหนื่อยน้อยกว่า ก็เลยเลิกงานสร้างภาพยนตร์มาอยู่กับเพลงจนถึงวันนี้  งานที่เรารักมากที่สุดก็คือเพลง เราเคยห่างจากงานเพลงไปทำภาพยนตร์อยู่ 6-7 ปี เราก็ต้องกลับมาอยู่กับงานเพลงอีก ก็กลับมาจัดคอนเสิร์ต แต่งเพลงใหม่ๆ ขึ้นมา''
     
    เมื่อถามถึงการกลับมาสร้างสรรค์ผลงานเพลงใหม่อีก 11 บทเพลง ร่วมกับ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ซึ่งเตรียมถูกถ่ายทอดในคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ ''สีสันวันแจ๊ส'' ครูเพลง อ.กวี สัตโกวิท กล่าวว่า ''คือบทเพลงไทยนั้นเราต้องหาทางให้เขามีการสืบทอด จะเห็นว่าเพลงไทยเก่าๆ ที่ไม่ตายคือเพลงที่ได้มาตรฐานมีหลายเพลงที่ทุกวันนี้ยังมีคนนำกลับมาร้อง อยู่ แต่เราจะเอาไว้ให้เขามีแค่นั้นหรือ ดังนั้นเราจึงคิดแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าบทเพลงที่ ดีๆ ไม่ได้มีแค่นั้น เขาต้องมีเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ได้อยู่กับที่ แต่เขาต้องมีการสืบทอดเพื่อจะให้เพลงไม่อยู่กับที่และเด็กจะได้รู้จักเพลง ใหม่ๆ มากขึ้นครับ''
     
    ทุกวันนี้ อ.กวี สัตโกวิท ยังคงทำงานเกี่ยวกับเสียงเพลงร่วมสมัย โดยผลิตรายการอยู่ที่ช่องเฉลิมกรุงทีวี ขณะที่งานด้านภาพยนตร์ก็ใช่ว่าจะหายไปจากครอบครัวสัตโกวิทซะทีเดียว เมื่อเขามีทายาทที่ชื่อ ''บอม'' อัศจรรย์ สัตโกวิท เป็นผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นใหม่ของวงการหนังไทย
     
    สำหรับคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์เพื่อการกุศล ''สีสันวันแจ๊ส'' จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 19 พ.ย. 54 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป เปิดจำหน่ายบัตรวันที่ 20 ต.ค. ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา บัตรราคา 500/800/1,000/1,500/2,000/2,500 บาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายบัตรมอบให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนา

ที่มา สยามดารา